การแข่งขัน ของ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 นัดชิงชนะเลิศ

สรุป

ครึ่งแรก

ลู้ก ชอว์ทำประตูขึ้นนำให้กับอังกฤษในนาทีที่ 2 เป็นประตูที่เกิดขึ้นเร็วที่สุดในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป[87]

การแข่งขันเริ่มขึ้นในเวลา 20 นาฬิกา (ตามเวลาท้องถิ่น) สภาพอากาศมีเมฆครึ้มและมีฝนตก[88] มีผู้ชมในสนามทั้งสิ้น 67,173 คน[88] อิตาลีสวมเสื้อ กางเกงขาสั้น และถุงเท้าสีน้ำเงิน ในขณะที่อังกฤษสวมเสื้อ กางเกงขาสั้น และถุงเท้าสีขาว แฮร์รี แมไกวร์ของอังกฤษเสียลูกเตะมุมตั้งแต่นาทีแรกเมื่อเขาส่งบอลคืนให้จอร์แดน พิกฟอร์ดพลาด แต่แมไกวร์ก็สามารถสกัดบอลออกไปได้ อังกฤษเริ่มเปิดเกมรุก โดยแฮร์รี เคนจ่ายบอลให้คีแรน ทริปเปียร์ซึ่งอยู่ฝั่งขวา ก่อนที่ทริปเปียร์จะเปิดบอลข้ามกรอบเขตโทษมาทางชอว์ ทำให้ชอว์ทำประตูให้อังกฤษขึ้นนำได้สำเร็จจากการยิงฮาล์ฟวอลเลย์ทางฝั่งซ้าย[88] เวลาในตอนนั้นคือ 1 นาที 56 วินาที[89] ทำให้ประตูนี้เป็นประตูที่เกิดขึ้นเร็วที่สุดในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป[87] ต่อมาในนาทีที่ 8 อิตาลีได้ลูกฟรีคิกหน้ากรอบเขตโทษ ซึ่งโลเรนโซ อินซิญเญยิงข้ามคานไป[90] การแข่งขันเริ่มกลับมาเร่งขึ้นอีกครั้ง[91] เมื่อไคล์ วอล์กเกอร์ของอังกฤษได้เปิดเกมสวนกลับในนาทีที่ 10 เขาจ่ายบอลให้กับทริปเปียร์ ก่อนที่ทริปเปียร์จะตัดบอลเข้าในให้กับราฮีม สเตอร์ลิง แต่ก็ถูกสกัดได้โดยจอร์โจ กีเอลลีนี[90] อังกฤษบุกต่ออีกครั้งผ่านทางทริปเปียร์ซึ่งวิ่งในช่องว่างฝั่งขวาก่อนที่จะได้ลูกเตะมุม ซึ่งผู้รักษาประตูอิตาลี จันลุยจี ดอนนารุมมา ออกมารับลูกบอลได้ ต่อมาในนาทีที่ 15 เมสัน เมานต์เรียกลุกเตะมุมได้อีกครั้งเมื่อเขาวิ่งทางฝั่งซ้ายและฌอร์ฌิญญูเคลียร์บอลออกหลังไป[90]

อิตาลีเริ่มกลับมาครองบอลหลังจากผ่านไป 15 นาที สกอตต์ เมอร์เรย์จากเดอะการ์เดียน กล่าวว่าในตอนนั้น "สังเกตได้ว่าอิตาลีเริ่มตั้งตัวได้หลังจากที่เริ่มเกมด้วยฝันร้าย" ในนาทีที่ 20 อิตาลีมีโอกาสเล่นเกมรุกโดยมาร์โก แวร์รัตตีและอินซิญเญหลังจากที่เคนเสียบอล แต่การที่กีเอลลีนีไปทำฟาล์วใส่เคน ทำให้การเดินเกมรุกต้องหยุด[90] ฌอร์ฌิญญูได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจนต้องออกไปปฐมพยาบาลข้างสนามห้านาทีก่อนที่เขาจะกลับเล่นต่อ[88] ในนาทีที่ 24 เฟเดรีโก กีเอซาวิ่งเข้าไปในช่องว่างฝั่งขวาเพื่อเปิดบอลตัดเข้ามาในกรอบเขตโทษ แต่อังกฤษก็ยังป้องกันได้[90] อิตาลีได้บุกอีกครั้งในนาทีที่ 28 แต่อินซิญเญก็ยิงออกไปไกล[88] เขามีโอกาสเข้าไปในกรอบเขตโทษของอังกฤษอีกครั้งในนาทีที่ 32 จากการวิ่งทางฝั่งซ้าย แต่อังกฤษก็เคลียร์บอลได้อีกครั้ง[90]

อังกฤษไม่สามารถครอบครองบอลได้มาสักพักแล้ว แต่ในนาทีที่ 34 พวกเขามีโอกาสได้ประตูทิ้งห่างเมื่อเคนจ่ายบอลให้สเตอร์ลิง สเตอร์ลิงก็จ่ายบอลต่อให้เมานต์ และเมานต์ก็พยายามจะจ่ายบอลคืนให้สเตอร์ลิง แต่อิตาลีก็มาสกัดบอลไม่ให้เสียประตูได้ อิตาลีมีโอกาสทำประตูในนาทีถัดมาเมื่อกีเอซาเอาชนะชอว์และดีคลัน ไรซ์ของอังกฤษก่อนที่จะวิ่งไปเพื่อยิงประตูในระยะ 25 หลา แต่พิกฟอร์ดก็ปัดป้องไว้ได้ก่อนที่ลูกบอลจะออกหลัง[88] ไม่นานก่อนที่จะจบครึ่งแรก อิตาลีมีจังหวะที่เมอร์เรย์ได้บรรยายไว้ว่า "มีการเคลื่อนที่ที่ดีที่สุดในเกม" โดยในจังหวะนั้น โจวันนี ดี โลเรนโซส่งบอลให้ชีโร อิมโมบีเลเพื่อทำประตูในระยะ 12 หลา แต่จอห์น สโตนส์ก็มาบล็อกลูกยิงไว้ได้ แวร์รัตตีพยายามจะยิงซ้ำแต่ก็ถูกป้องกันโดยพิกฟอร์ด อิตาลีมีโอกาสอีกหนเมื่อเลโอนาร์โด โบนุชชีพยายามยิงไกล แต่ลูกยิงนั้นสูงและไกลเกินไป[90] กรรมการเป่านกหวีดจบครึ่งแรก ซึ่งอังกฤษยังคงนำอยู่ 1–0 อิตาลีเป็นฝ่ายครองบอลมากกว่า แต่แนวรับของอังกฤษยังคงป้องกันไม่ให้เสียประตูได้[91]

ครึ่งหลัง

เลโอนาร์โด โบนุชชีทำประตูตีเสมอให้กับอิตาลีได้ในนาทีที่ 67 ทำให้เขาเป็นผู้เล่นอายุมากที่สุดที่ทำประตูได้ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป[92]

อังกฤษเป็นฝ่ายเริ่มเขี่ยบอลในครึ่งหลัง[90] นีโกเลาะ บาเรลลาของอิตาลีได้รับใบเหลืองแรกของเกมในนาทีที่ 47 หลังจากที่เขาไปทำฟาล์วใส่เคน ต่อมาสเตอร์ลิงวิ่งเข้าไปในกรอบเขตโทษของอิตาลี โดยฝ่ากลางระหว่างโบนุชชีกับกีเอลลีนีก่อนที่เขาจะล้มลงไปบนพื้น สเตอร์ลิงพยายามจะเรียกจุดโทษ แต่กรรมการตัดสินว่ามันไม่ฟาล์ว[93] อิตาลีได้ฟรีคิกที่กรอบเขตโทษของอังกฤษในนาทีที่ 50 หลังจากที่สเตอร์ลิงไปทำฟาล์วใส่อินซิญเญ อินซิญเญเป็นคนยิงฟรีคิกนี้เองแต่ลูกยิงก็ออกไปไกลอีกครั้ง สองนาทีถัดมา กีเอซาวิ่งทางฝั่งขวาก่อนตัดบอลเข้าในให้กับอินซิญเญแต่ถูกวอล์กเกอร์ตัดบอลได้และส่งคืนให้กับพิกฟอร์ด อินซิญเญพยายามวิ่งไปในกรอบเขตโทษอังกฤษทางฝั่งซ้ายเพื่อยิง แต่ก็ยิงไกลออกไปอีกครั้ง อิตาลีเปลี่ยนตัวสำรองครั้งแรกในนาทีที่ 54 โดยส่งบรายัน กริสตันเตและโดเมนีโก เบราร์ดีแทนที่อิมโมบีเลและบาเรลลา[90]

ในนาทีที่ 55 โบนุชชีไปทำฟาล์วใส่สเตอร์ลิงจนได้รับใบเหลืองจากกรรมการ อังกฤษได้เตะลูกฟรีคิกไปเข้าหัวของแมไกวร์ในระยะ 8 หลาจากประตู แต่แมไกวร์โหม่งบอลข้ามคานออกไป อิตาลีได้เปิดเกมรุกอีกครั้งจากการเปิดยาวของกีเอซาไปยังอินซิญเญซึ่งยิงเต็มแรงแต่พิกฟอร์ดก็เซฟได้ เช่นเดียวกันกับในครึ่งแรก อิตาลีเป็นฝ่ายครองบอลมากกว่า[90] หลังผ่านไปหนึ่งชั่วโมง กีเอซาเลี้ยงเข้ากรอบเขตโทษของอังกฤษและยิงเต็มแรง แต่พิกฟอร์ดก็เซฟได้อีกครั้ง[93] ไม่กี่นาทีถัดมา อังกฤษสามารถเอาบอลกลับมาครอบครองได้ ชอว์พยายามบุกทางฝั่งซ้ายแต่ก็จ่ายให้เมานต์ไม่สำเร็จ อิตาลีเปิดเกมรุกอีกครั้งในนาทีที่ 66 เมื่อกีเอซาเปิดบอลเข้ามาจากฝั่งซ้าย อินซิญเญมีโอกาสทำประตูในระยะ 6 หลา แต่ก็กระโดดโหม่งไม่สูงพอ[90] หนึ่งนาทีถัดมา อิตาลีได้ลูกเตะมุม ซึ่งกริสตันเตเปิดบอลเข้าไปหาแวร์รัตตีที่พยายามโหม่งทำประตู ลูกบอลตกลงพื้นและเกือบถึงมือพิกฟอร์ด แต่โบนุชชีมีปฏิกิริยาที่รวดเร็ว วิ่งเข้ามายิงประตูตีเสมอให้อิตาลีได้สำเร็จ[94] ด้วยอายุ 34 ปี 71 วัน ทำให้โบนุชชีเป็นผู้เล่นอายุมากที่สุดที่ทำประตูได้ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป[92]

เมื่อเสมอกัน 1–1 แล้ว ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ เซาท์เกตได้ทำการเปลี่ยนตัวตามแท็กติก เขาเปลี่ยนเอาผู้เล่นแนวรุกอย่างบูกาโย ซากาลงเล่นแทนทริปเปียร์ และเปลี่ยนแผนการเล่นเป็น 4–3–3[95] อิตาลีได้บุกอีกครั้งในนาทีที่ 73 ซึ่งเบราร์ดีเสียการควบคุมบอลในกรอบเขตโทษของอังกฤษเมื่อเขาวิ่งตามหลังกองหลังอังกฤษ เซาท์เกตทำการเปลี่ยนผู้เล่นครั้งที่สองโดยเปลี่ยนจอร์แดน เฮนเดอร์สันลงเล่นแทนไรซ์[93] อิตาลียังคงครองบอลในแดนของอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ กีเอซาได้บุกขึ้นทางฝั่งซ้ายในนาทีที่ 80 โดยเอาชนะทั้งวอล์กเกอร์และซากา ก่อนที่เขาจะถูกฟิลลิปส์สกัดและล้มลงไปบนพื้น กีเอซาได้รับบาดเจ็บและต้องถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนาม โดยมีเฟเดรีโก แบร์นาร์เดสกีลงเล่นแทนในนาทีที่ 86 ในขณะเดียวกัน อังกฤษกลับมามีโอกาสเมื่อเมานต์เลี้ยงบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษของอิตาลีและจ่ายบอลให้ซากา แต่เขาก็สูญเสียการควบคุมบอล อินซิญเญเสียฟาล์วแก่ฟิลลิปส์ ทำให้อังกฤษได้ฟรีคิกแต่ลูกยิงก็ถูกสกัดโดยอิตาลี ชอว์ยิงซ้ำแต่บอลก็ข้ามคานไป ในนาทีที่ 87 เกมหยุดพักชั่วคราวเนื่องจากมีแฟนบอลลงมาป่วนในสนาม[96] สเตอร์ลิงวิ่งเข้าไปในกรอบเขตโทษทางฝั่งซ้ายในนาทีที่ 89 ซึ่งโบนุชชีและกีเอลลีนีเข้ามากดดันจนบอลออกหลังและอิตาลีได้ลูกตั้งเตะจากประตู อังกฤษได้ฟรีคิกอีกครั้งในช่วงทดเวลา แต่สเตอร์ลิงก็ยิงไม่เข้า เมื่ออิตาลีพยายามขึ้นเกมผ่านทางกริสตันเต วอล์กเกอร์ได้เข้ามาส่งเคลียร์บอลคืนให้พิกฟอร์ด ในช่วงสุดท้ายของเวลาปกติ ซากาถูกกีเอลลีนีดึงเสื้อจากทางด้านหลังจนล้มลงไป ทำให้กีเอลลีนีได้รับใบเหลืองจากการทำฟาล์ว ลูกฟรีคิกของอังกฤษถูกเคลียร์ได้และเกมต้องดำเนินการต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษ[90]

ต่อเวลาพิเศษ

ผู้จัดการทีมชาติอิตาลี โรแบร์โต มันชีนี ทำการเปลี่ยนตัวผู้เล่นตั้งแต่ช่วงต้นของการต่อเวลาพิเศษ โดยส่งอันเดรอา เบลอตตีลงแทนที่อินซิญเญ[93] และส่งมานูเอล โลกาเตลลีลงแทนที่แวร์รัตตี[90] ในนาทีที่ 96 เฮนเดอร์สันจ่ายบอลให้สเตอร์ลิงวิ่งขึ้นทางฝั่งซ้าย ผู้บรรยายสดช่องสกายสปอร์ตสรายงานว่าเป็น "โอกาสครั้งใหญ่มาก ๆ ของอังกฤษ" สเตอร์ลิงพยายามหาเคนและซากาบริเวณตรงกลาง แต่กีเอลลีนีก็มาเคลียร์บอลออกไปได้[88] อังกฤษได้ลูกเตะมุมจากฟิลลิปส์ แต่ดอนนารุมมาออกมารับบอลไว้ได้ ต่อมาในนาทีที่ 99 แจ็ก กรีลิชลงเล่นแทนเมานต์ ฟิลลิปส์โดยทำฟาล์วบริเวณหน้ากรอบเขตโทษแต่ผู้ตัดสินชี้ให้เป็นลูกได้เปรียบแทนที่จะเป็นลูกฟรีคิก[90] กรีลิชได้โอกาสแรกในเกมรุกในนาทีที่ 101 เขาพาบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษและจ่ายให้กับซากา แต่บอลก็ไปไม่ถึงเขา อิตาลีกลับมาได้โอกาสในนาทีที่ 103 เมื่อแอแมร์ซงเอาชนะวอล์กเกอร์และจ่ายบอลตัดเข้าในให้กับแบร์นาร์เดสกี แต่ปีกของอิตาลีไม่สามารถเชื่อมบอลได้และพิกฟอร์ดออกมาชกบอลได้พอดี ทำให้จบครึ่งแรกของการต่อเวลาพิเศษด้วยผล 1–1 เหมือนเดิม[88]

แมไกวร์เป็นคนแรกของอังกฤษที่รับใบเหลืองจากการไปทำฟาล์วเบลอตตีในนาทีที่ 106[88] อิตาลีได้ลูกฟรีคิกโดยแบร์นาร์เดสกีสามารถยิงทะลุกำแพงของอังกฤษแต่พิกฟอร์ดก็เซฟไว้ได้[88] ในนาทีที่ 108 วอล์กเกอร์ทุ่มบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษของอิตาลีแต่บอลก็ถูกเคลียร์ออกไป เคนพยายามตัดบอลเข้าใน แต่ดอนนารุมมาก็ออกมาป้องกันไม่ให้สโตนส์ขึ้นโหม่งทำประตูได้[90] สเตอร์ลิงเอาชนะกีเอลลีนีบริเวณริมเส้นในนาทีที่ 111 แต่อิตาลีก็ได้บอลกลับมาและเคลียร์บอลออกไป สองนาทีหลังจากนั้น ฌอร์ฌิญญูทำฟาล์วกรีลิชและเผลอไปย่ำใส่ต้นขา ทำให้เขาได้รับใบเหลือง ก่อนจบช่วงต่อเวลาพิเศษ ทั้งสองทีมเปลี่ยนตัวผู้เล่นครั้งสุดท้าย อิตาลีส่งอาเลสซันโดร โฟลเรนซีลงเล่นแทนแอแมร์ซง ส่วนอังกฤษส่งเจดอน แซนโชและมาร์คัส แรชฟอร์ดลงเล่นแทนวอล์กเกอร์และเฮนเดอร์สัน หลังจากนั้นไม่มีจังหวะบุกเพิ่มเติม ทำให้เกมจบลงด้วยผล 1–1 ต้องตัดสินด้วยการยิงลูกโทษ[93]

ดวลลูกโทษ

อิตาลีเป็นฝ่ายได้ยิงลูกโทษก่อน โดยจะยิงในฝั่งที่มีแฟนบอลอังกฤษจำนวนมากอยู่หลังประตู คนยิงคนแรกของทั้งสองฝั่ง (เบราร์ดีและเคน) ยิงเข้าไปได้ แต่คนที่สองของอิตาลี เบลอตตียิงไปติดเซฟของพิกฟอร์ด ก่อนที่แมไกวร์จะยิงเข้าจนทำให้อังกฤษได้เปรียบจากการขึ้นนำ 2–1 โบนุชชียิงให้อิตาลีตีเสมอ 2–2 ก่อนที่แรชฟอร์ดที่เพิ่งถูกเปลี่ยนตัวลงมา จะหลอกดอนนารุมมาแต่ยิงพลาดไปชนเสาประตูฝั่งซ้าย แบร์นาร์เดสกียิงเข้าไปกลางประตูช่วยให้อิตาลีพลิกขึ้นนำ แซนโชซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวสำรองที่เพิ่งลงมา ยิงไปทางขวาแต่ติดเซฟดอนนารุมมา ทำให้สถานการณ์กลายเป็นถ้าคนที่ห้าของอิตาลียิงเข้า อิตาลีจะชนะเลิศทันที ฌอร์ฌิญญู ซึ่งเป็นคนยิงคนสุดท้ายในรอบรองชนะเลิศที่ชนะสเปน ยิงไปทางซ้ายแต่ติดเซฟของพิกฟอร์ด ทำให้ผลประตูยังคงอยู่ที่ 3–2 ซากาซึ่งเป็นคนยิงคนที่ห้าของอังกฤษ มีโอกาสทำประตูตีเสมอเพื่อแข่งต่อในช่วงซัดเดนเดธ (sudden death) แต่เขายิงไปติดเซฟของดอนนารุมมา ส่งผลให้อิตาลีชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปเป็นสมัยที่สองทันที[90]

รายละเอียด

อิตาลี[4]
อังกฤษ[4]
GK21จันลุยจี ดอนนารุมมา
RB2โจวันนี ดี โลเรนโซ
CB19เลโอนาร์โด โบนุชชี 55'
CB3จอร์โจ กีเอลลีนี (กัปตัน) 90+6'
LB13แอแมร์ซง 118'
DM8ฌอร์ฌิญญู 114'
CM18นีโกเลาะ บาเรลลา 47' 54'
CM6มาร์โก แวร์รัตตี 96'
RW14เฟเดรีโก กีเอซา 86'
LW10โลเรนโซ อินซิญเญ 84' 91'
CF17ชีโร อิมโมบีเล 54'
การเปลี่ยนตัวผู้เล่น:
MF16บรายัน กริสตันเต 54'
FW11โดเมนีโก เบราร์ดี 54'
MF20เฟเดรีโก แบร์นาร์เดสกี 86'
FW9อันเดรอา เบลอตตี 91'
MF5มานูเอล โลกาเตลลี 96'
DF24อาเลสซันโดร โฟลเรนซี 118'
ผู้จัดการทีม:
โรแบร์โต มันชีนี
GK1จอร์แดน พิกฟอร์ด
CB2ไคล์ วอล์กเกอร์ 120'
CB5จอห์น สโตนส์
CB6แฮร์รี แมไกวร์ 106'
RWB12คีแรน ทริปเปียร์ 70'
LWB3ลู้ก ชอว์
CM14แคลวิน ฟิลลิปส์
CM4ดีคลัน ไรซ์ 74'
RW19เมสัน เมานต์ 99'
LW10ราฮีม สเตอร์ลิง
CF9แฮร์รี เคน (กัปตัน)
การเปลี่ยนตัวผู้เล่น:
MF25บูกาโย ซากา 70'
MF8จอร์แดน เฮนเดอร์สัน 74' 120'
MF7แจ็ก กรีลิช 99'
FW11มาร์คัส แรชฟอร์ด 120'
MF17เจดอน แซนโช 120'
ผู้จัดการทีม:
แกเร็ท เซาท์เกต

ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัด:
เลโอนาร์โด โบนุชชี (อิตาลี)[1]

ผู้ช่วยผู้ตัดสิน:[2]
ซันเดอร์ ฟัน รุเกิล (เนเธอร์แลนด์)
แอร์วิน ไซน์สตรา (เนเธอร์แลนด์)
ผู้ตัดสินที่สี่:
การ์โลส เดล เซร์โร กรันเด (สเปน)
ผู้ช่วยผู้ตัดสินสำรอง:
ฆวน การ์โลส ยุสเต ฆิเมเนซ (สเปน)
ผู้ช่วยผู้ตัดสินวิดีโอ:
บัสทีอัน ดังเคิร์ท (เยอรมนี)
ผู้ช่วยผู้ตัดสินจากการช่วยวิดีโอตัดสิน:
โปล ฟัน บุเกิล (เนเธอร์แลนด์)
คริสทีอัน กิทเทิลมัน (เยอรมนี)
มาร์โค ฟริทซ์ (เยอรมนี)

ข้อมูลในการแข่งขัน[97]

  • แข่งขันเวลาปกติ 90 นาที
  • ต่อเวลาพิเศษไปอีก 30 นาที เมื่อทั้งสองทีมเสมอกันในเวลาปกติ
  • ตัดสินด้วยการดวลลูกโทษเพื่อหาผู้ชนะ
  • ส่งชื่อผู้เล่นสำรองได้สิบสองคน
  • เปลี่ยนตัวผู้เล่นสูงสุดได้ห้าคน โดยอนุญาตให้เปลี่ยนผู้เล่นคนที่หกได้ในช่วงต่อเวลาพิเศษ[note 1]

สถิติ

ครึ่งแรก[98]
สถิติอิตาลีอังกฤษ
ประตู01
โอกาสยิง61
ยิงตรงกรอบ11
เซฟ01
ครองบอล61%39%
ลูกเตะมุม12
ทำฟาล์ว65
ลำหน้า21
ใบเหลือง00
ใบแดง00
ครึ่งหลัง[98]
สถิติอิตาลีอังกฤษ
ประตู10
โอกาสยิง93
ยิงตรงกรอบ40
เซฟ03
ครองบอล65%35%
ลูกเตะมุม12
ทำฟาล์ว102
ลำหน้า00
ใบเหลือง40
ใบแดง00
ต่อเวลาพิเศษ[98]
สถิติอิตาลีอังกฤษ
ประตู00
โอกาสยิง52
ยิงตรงกรอบ10
เซฟ01
ครองบอล57%43%
ลูกเตะมุม11
ทำฟาล์ว56
ลำหน้า30
ใบเหลือง11
ใบแดง00
ทั้งหมด[98]
สถิติอิตาลีอังกฤษ
ประตู11
โอกาสยิง206
ยิงตรงกรอบ61
เซฟ05
ครองบอล61%39%
ลูกเตะมุม35
ทำฟาล์ว2113
ลำหน้า51
ใบเหลือง51
ใบแดง00

ใกล้เคียง

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024 รอบคัดเลือก ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 นัดชิงชนะเลิศ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 รอบคัดเลือก ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 รอบแพ้คัดออก ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 รอบแพ้คัดออก

แหล่งที่มา

WikiPedia: ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 นัดชิงชนะเลิศ http://origin1904-p.cxm.fifa.com/fifa-world-rankin... http://www.rsssf.com/tablesi/ital-intres.html http://www.uefa.com/newsfiles/euro/2020/2024491_fr... http://www.uefa.com/newsfiles/euro/2020/2024491_lu... //www.worldcat.org/issn/0140-0460 http://news.bbc.co.uk/1/hi/england/2735143.stm http://news.bbc.co.uk/sport1/hi/football/world_cup... https://www.11v11.com/teams/england/tab/opposingTe... https://www.aljazeera.com/sports/2021/7/11/euro-20... https://apnews.com/article/euro-2020-sports-health...