เมนูนำทาง
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 นัดชิงชนะเลิศ การแข่งขันการแข่งขันเริ่มขึ้นในเวลา 20 นาฬิกา (ตามเวลาท้องถิ่น) สภาพอากาศมีเมฆครึ้มและมีฝนตก[88] มีผู้ชมในสนามทั้งสิ้น 67,173 คน[88] อิตาลีสวมเสื้อ กางเกงขาสั้น และถุงเท้าสีน้ำเงิน ในขณะที่อังกฤษสวมเสื้อ กางเกงขาสั้น และถุงเท้าสีขาว แฮร์รี แมไกวร์ของอังกฤษเสียลูกเตะมุมตั้งแต่นาทีแรกเมื่อเขาส่งบอลคืนให้จอร์แดน พิกฟอร์ดพลาด แต่แมไกวร์ก็สามารถสกัดบอลออกไปได้ อังกฤษเริ่มเปิดเกมรุก โดยแฮร์รี เคนจ่ายบอลให้คีแรน ทริปเปียร์ซึ่งอยู่ฝั่งขวา ก่อนที่ทริปเปียร์จะเปิดบอลข้ามกรอบเขตโทษมาทางชอว์ ทำให้ชอว์ทำประตูให้อังกฤษขึ้นนำได้สำเร็จจากการยิงฮาล์ฟวอลเลย์ทางฝั่งซ้าย[88] เวลาในตอนนั้นคือ 1 นาที 56 วินาที[89] ทำให้ประตูนี้เป็นประตูที่เกิดขึ้นเร็วที่สุดในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป[87] ต่อมาในนาทีที่ 8 อิตาลีได้ลูกฟรีคิกหน้ากรอบเขตโทษ ซึ่งโลเรนโซ อินซิญเญยิงข้ามคานไป[90] การแข่งขันเริ่มกลับมาเร่งขึ้นอีกครั้ง[91] เมื่อไคล์ วอล์กเกอร์ของอังกฤษได้เปิดเกมสวนกลับในนาทีที่ 10 เขาจ่ายบอลให้กับทริปเปียร์ ก่อนที่ทริปเปียร์จะตัดบอลเข้าในให้กับราฮีม สเตอร์ลิง แต่ก็ถูกสกัดได้โดยจอร์โจ กีเอลลีนี[90] อังกฤษบุกต่ออีกครั้งผ่านทางทริปเปียร์ซึ่งวิ่งในช่องว่างฝั่งขวาก่อนที่จะได้ลูกเตะมุม ซึ่งผู้รักษาประตูอิตาลี จันลุยจี ดอนนารุมมา ออกมารับลูกบอลได้ ต่อมาในนาทีที่ 15 เมสัน เมานต์เรียกลุกเตะมุมได้อีกครั้งเมื่อเขาวิ่งทางฝั่งซ้ายและฌอร์ฌิญญูเคลียร์บอลออกหลังไป[90]
อิตาลีเริ่มกลับมาครองบอลหลังจากผ่านไป 15 นาที สกอตต์ เมอร์เรย์จากเดอะการ์เดียน กล่าวว่าในตอนนั้น "สังเกตได้ว่าอิตาลีเริ่มตั้งตัวได้หลังจากที่เริ่มเกมด้วยฝันร้าย" ในนาทีที่ 20 อิตาลีมีโอกาสเล่นเกมรุกโดยมาร์โก แวร์รัตตีและอินซิญเญหลังจากที่เคนเสียบอล แต่การที่กีเอลลีนีไปทำฟาล์วใส่เคน ทำให้การเดินเกมรุกต้องหยุด[90] ฌอร์ฌิญญูได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจนต้องออกไปปฐมพยาบาลข้างสนามห้านาทีก่อนที่เขาจะกลับเล่นต่อ[88] ในนาทีที่ 24 เฟเดรีโก กีเอซาวิ่งเข้าไปในช่องว่างฝั่งขวาเพื่อเปิดบอลตัดเข้ามาในกรอบเขตโทษ แต่อังกฤษก็ยังป้องกันได้[90] อิตาลีได้บุกอีกครั้งในนาทีที่ 28 แต่อินซิญเญก็ยิงออกไปไกล[88] เขามีโอกาสเข้าไปในกรอบเขตโทษของอังกฤษอีกครั้งในนาทีที่ 32 จากการวิ่งทางฝั่งซ้าย แต่อังกฤษก็เคลียร์บอลได้อีกครั้ง[90]
อังกฤษไม่สามารถครอบครองบอลได้มาสักพักแล้ว แต่ในนาทีที่ 34 พวกเขามีโอกาสได้ประตูทิ้งห่างเมื่อเคนจ่ายบอลให้สเตอร์ลิง สเตอร์ลิงก็จ่ายบอลต่อให้เมานต์ และเมานต์ก็พยายามจะจ่ายบอลคืนให้สเตอร์ลิง แต่อิตาลีก็มาสกัดบอลไม่ให้เสียประตูได้ อิตาลีมีโอกาสทำประตูในนาทีถัดมาเมื่อกีเอซาเอาชนะชอว์และดีคลัน ไรซ์ของอังกฤษก่อนที่จะวิ่งไปเพื่อยิงประตูในระยะ 25 หลา แต่พิกฟอร์ดก็ปัดป้องไว้ได้ก่อนที่ลูกบอลจะออกหลัง[88] ไม่นานก่อนที่จะจบครึ่งแรก อิตาลีมีจังหวะที่เมอร์เรย์ได้บรรยายไว้ว่า "มีการเคลื่อนที่ที่ดีที่สุดในเกม" โดยในจังหวะนั้น โจวันนี ดี โลเรนโซส่งบอลให้ชีโร อิมโมบีเลเพื่อทำประตูในระยะ 12 หลา แต่จอห์น สโตนส์ก็มาบล็อกลูกยิงไว้ได้ แวร์รัตตีพยายามจะยิงซ้ำแต่ก็ถูกป้องกันโดยพิกฟอร์ด อิตาลีมีโอกาสอีกหนเมื่อเลโอนาร์โด โบนุชชีพยายามยิงไกล แต่ลูกยิงนั้นสูงและไกลเกินไป[90] กรรมการเป่านกหวีดจบครึ่งแรก ซึ่งอังกฤษยังคงนำอยู่ 1–0 อิตาลีเป็นฝ่ายครองบอลมากกว่า แต่แนวรับของอังกฤษยังคงป้องกันไม่ให้เสียประตูได้[91]
อังกฤษเป็นฝ่ายเริ่มเขี่ยบอลในครึ่งหลัง[90] นีโกเลาะ บาเรลลาของอิตาลีได้รับใบเหลืองแรกของเกมในนาทีที่ 47 หลังจากที่เขาไปทำฟาล์วใส่เคน ต่อมาสเตอร์ลิงวิ่งเข้าไปในกรอบเขตโทษของอิตาลี โดยฝ่ากลางระหว่างโบนุชชีกับกีเอลลีนีก่อนที่เขาจะล้มลงไปบนพื้น สเตอร์ลิงพยายามจะเรียกจุดโทษ แต่กรรมการตัดสินว่ามันไม่ฟาล์ว[93] อิตาลีได้ฟรีคิกที่กรอบเขตโทษของอังกฤษในนาทีที่ 50 หลังจากที่สเตอร์ลิงไปทำฟาล์วใส่อินซิญเญ อินซิญเญเป็นคนยิงฟรีคิกนี้เองแต่ลูกยิงก็ออกไปไกลอีกครั้ง สองนาทีถัดมา กีเอซาวิ่งทางฝั่งขวาก่อนตัดบอลเข้าในให้กับอินซิญเญแต่ถูกวอล์กเกอร์ตัดบอลได้และส่งคืนให้กับพิกฟอร์ด อินซิญเญพยายามวิ่งไปในกรอบเขตโทษอังกฤษทางฝั่งซ้ายเพื่อยิง แต่ก็ยิงไกลออกไปอีกครั้ง อิตาลีเปลี่ยนตัวสำรองครั้งแรกในนาทีที่ 54 โดยส่งบรายัน กริสตันเตและโดเมนีโก เบราร์ดีแทนที่อิมโมบีเลและบาเรลลา[90]
ในนาทีที่ 55 โบนุชชีไปทำฟาล์วใส่สเตอร์ลิงจนได้รับใบเหลืองจากกรรมการ อังกฤษได้เตะลูกฟรีคิกไปเข้าหัวของแมไกวร์ในระยะ 8 หลาจากประตู แต่แมไกวร์โหม่งบอลข้ามคานออกไป อิตาลีได้เปิดเกมรุกอีกครั้งจากการเปิดยาวของกีเอซาไปยังอินซิญเญซึ่งยิงเต็มแรงแต่พิกฟอร์ดก็เซฟได้ เช่นเดียวกันกับในครึ่งแรก อิตาลีเป็นฝ่ายครองบอลมากกว่า[90] หลังผ่านไปหนึ่งชั่วโมง กีเอซาเลี้ยงเข้ากรอบเขตโทษของอังกฤษและยิงเต็มแรง แต่พิกฟอร์ดก็เซฟได้อีกครั้ง[93] ไม่กี่นาทีถัดมา อังกฤษสามารถเอาบอลกลับมาครอบครองได้ ชอว์พยายามบุกทางฝั่งซ้ายแต่ก็จ่ายให้เมานต์ไม่สำเร็จ อิตาลีเปิดเกมรุกอีกครั้งในนาทีที่ 66 เมื่อกีเอซาเปิดบอลเข้ามาจากฝั่งซ้าย อินซิญเญมีโอกาสทำประตูในระยะ 6 หลา แต่ก็กระโดดโหม่งไม่สูงพอ[90] หนึ่งนาทีถัดมา อิตาลีได้ลูกเตะมุม ซึ่งกริสตันเตเปิดบอลเข้าไปหาแวร์รัตตีที่พยายามโหม่งทำประตู ลูกบอลตกลงพื้นและเกือบถึงมือพิกฟอร์ด แต่โบนุชชีมีปฏิกิริยาที่รวดเร็ว วิ่งเข้ามายิงประตูตีเสมอให้อิตาลีได้สำเร็จ[94] ด้วยอายุ 34 ปี 71 วัน ทำให้โบนุชชีเป็นผู้เล่นอายุมากที่สุดที่ทำประตูได้ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป[92]
เมื่อเสมอกัน 1–1 แล้ว ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ เซาท์เกตได้ทำการเปลี่ยนตัวตามแท็กติก เขาเปลี่ยนเอาผู้เล่นแนวรุกอย่างบูกาโย ซากาลงเล่นแทนทริปเปียร์ และเปลี่ยนแผนการเล่นเป็น 4–3–3[95] อิตาลีได้บุกอีกครั้งในนาทีที่ 73 ซึ่งเบราร์ดีเสียการควบคุมบอลในกรอบเขตโทษของอังกฤษเมื่อเขาวิ่งตามหลังกองหลังอังกฤษ เซาท์เกตทำการเปลี่ยนผู้เล่นครั้งที่สองโดยเปลี่ยนจอร์แดน เฮนเดอร์สันลงเล่นแทนไรซ์[93] อิตาลียังคงครองบอลในแดนของอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ กีเอซาได้บุกขึ้นทางฝั่งซ้ายในนาทีที่ 80 โดยเอาชนะทั้งวอล์กเกอร์และซากา ก่อนที่เขาจะถูกฟิลลิปส์สกัดและล้มลงไปบนพื้น กีเอซาได้รับบาดเจ็บและต้องถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนาม โดยมีเฟเดรีโก แบร์นาร์เดสกีลงเล่นแทนในนาทีที่ 86 ในขณะเดียวกัน อังกฤษกลับมามีโอกาสเมื่อเมานต์เลี้ยงบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษของอิตาลีและจ่ายบอลให้ซากา แต่เขาก็สูญเสียการควบคุมบอล อินซิญเญเสียฟาล์วแก่ฟิลลิปส์ ทำให้อังกฤษได้ฟรีคิกแต่ลูกยิงก็ถูกสกัดโดยอิตาลี ชอว์ยิงซ้ำแต่บอลก็ข้ามคานไป ในนาทีที่ 87 เกมหยุดพักชั่วคราวเนื่องจากมีแฟนบอลลงมาป่วนในสนาม[96] สเตอร์ลิงวิ่งเข้าไปในกรอบเขตโทษทางฝั่งซ้ายในนาทีที่ 89 ซึ่งโบนุชชีและกีเอลลีนีเข้ามากดดันจนบอลออกหลังและอิตาลีได้ลูกตั้งเตะจากประตู อังกฤษได้ฟรีคิกอีกครั้งในช่วงทดเวลา แต่สเตอร์ลิงก็ยิงไม่เข้า เมื่ออิตาลีพยายามขึ้นเกมผ่านทางกริสตันเต วอล์กเกอร์ได้เข้ามาส่งเคลียร์บอลคืนให้พิกฟอร์ด ในช่วงสุดท้ายของเวลาปกติ ซากาถูกกีเอลลีนีดึงเสื้อจากทางด้านหลังจนล้มลงไป ทำให้กีเอลลีนีได้รับใบเหลืองจากการทำฟาล์ว ลูกฟรีคิกของอังกฤษถูกเคลียร์ได้และเกมต้องดำเนินการต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษ[90]
ผู้จัดการทีมชาติอิตาลี โรแบร์โต มันชีนี ทำการเปลี่ยนตัวผู้เล่นตั้งแต่ช่วงต้นของการต่อเวลาพิเศษ โดยส่งอันเดรอา เบลอตตีลงแทนที่อินซิญเญ[93] และส่งมานูเอล โลกาเตลลีลงแทนที่แวร์รัตตี[90] ในนาทีที่ 96 เฮนเดอร์สันจ่ายบอลให้สเตอร์ลิงวิ่งขึ้นทางฝั่งซ้าย ผู้บรรยายสดช่องสกายสปอร์ตสรายงานว่าเป็น "โอกาสครั้งใหญ่มาก ๆ ของอังกฤษ" สเตอร์ลิงพยายามหาเคนและซากาบริเวณตรงกลาง แต่กีเอลลีนีก็มาเคลียร์บอลออกไปได้[88] อังกฤษได้ลูกเตะมุมจากฟิลลิปส์ แต่ดอนนารุมมาออกมารับบอลไว้ได้ ต่อมาในนาทีที่ 99 แจ็ก กรีลิชลงเล่นแทนเมานต์ ฟิลลิปส์โดยทำฟาล์วบริเวณหน้ากรอบเขตโทษแต่ผู้ตัดสินชี้ให้เป็นลูกได้เปรียบแทนที่จะเป็นลูกฟรีคิก[90] กรีลิชได้โอกาสแรกในเกมรุกในนาทีที่ 101 เขาพาบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษและจ่ายให้กับซากา แต่บอลก็ไปไม่ถึงเขา อิตาลีกลับมาได้โอกาสในนาทีที่ 103 เมื่อแอแมร์ซงเอาชนะวอล์กเกอร์และจ่ายบอลตัดเข้าในให้กับแบร์นาร์เดสกี แต่ปีกของอิตาลีไม่สามารถเชื่อมบอลได้และพิกฟอร์ดออกมาชกบอลได้พอดี ทำให้จบครึ่งแรกของการต่อเวลาพิเศษด้วยผล 1–1 เหมือนเดิม[88]
แมไกวร์เป็นคนแรกของอังกฤษที่รับใบเหลืองจากการไปทำฟาล์วเบลอตตีในนาทีที่ 106[88] อิตาลีได้ลูกฟรีคิกโดยแบร์นาร์เดสกีสามารถยิงทะลุกำแพงของอังกฤษแต่พิกฟอร์ดก็เซฟไว้ได้[88] ในนาทีที่ 108 วอล์กเกอร์ทุ่มบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษของอิตาลีแต่บอลก็ถูกเคลียร์ออกไป เคนพยายามตัดบอลเข้าใน แต่ดอนนารุมมาก็ออกมาป้องกันไม่ให้สโตนส์ขึ้นโหม่งทำประตูได้[90] สเตอร์ลิงเอาชนะกีเอลลีนีบริเวณริมเส้นในนาทีที่ 111 แต่อิตาลีก็ได้บอลกลับมาและเคลียร์บอลออกไป สองนาทีหลังจากนั้น ฌอร์ฌิญญูทำฟาล์วกรีลิชและเผลอไปย่ำใส่ต้นขา ทำให้เขาได้รับใบเหลือง ก่อนจบช่วงต่อเวลาพิเศษ ทั้งสองทีมเปลี่ยนตัวผู้เล่นครั้งสุดท้าย อิตาลีส่งอาเลสซันโดร โฟลเรนซีลงเล่นแทนแอแมร์ซง ส่วนอังกฤษส่งเจดอน แซนโชและมาร์คัส แรชฟอร์ดลงเล่นแทนวอล์กเกอร์และเฮนเดอร์สัน หลังจากนั้นไม่มีจังหวะบุกเพิ่มเติม ทำให้เกมจบลงด้วยผล 1–1 ต้องตัดสินด้วยการยิงลูกโทษ[93]
อิตาลีเป็นฝ่ายได้ยิงลูกโทษก่อน โดยจะยิงในฝั่งที่มีแฟนบอลอังกฤษจำนวนมากอยู่หลังประตู คนยิงคนแรกของทั้งสองฝั่ง (เบราร์ดีและเคน) ยิงเข้าไปได้ แต่คนที่สองของอิตาลี เบลอตตียิงไปติดเซฟของพิกฟอร์ด ก่อนที่แมไกวร์จะยิงเข้าจนทำให้อังกฤษได้เปรียบจากการขึ้นนำ 2–1 โบนุชชียิงให้อิตาลีตีเสมอ 2–2 ก่อนที่แรชฟอร์ดที่เพิ่งถูกเปลี่ยนตัวลงมา จะหลอกดอนนารุมมาแต่ยิงพลาดไปชนเสาประตูฝั่งซ้าย แบร์นาร์เดสกียิงเข้าไปกลางประตูช่วยให้อิตาลีพลิกขึ้นนำ แซนโชซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวสำรองที่เพิ่งลงมา ยิงไปทางขวาแต่ติดเซฟดอนนารุมมา ทำให้สถานการณ์กลายเป็นถ้าคนที่ห้าของอิตาลียิงเข้า อิตาลีจะชนะเลิศทันที ฌอร์ฌิญญู ซึ่งเป็นคนยิงคนสุดท้ายในรอบรองชนะเลิศที่ชนะสเปน ยิงไปทางซ้ายแต่ติดเซฟของพิกฟอร์ด ทำให้ผลประตูยังคงอยู่ที่ 3–2 ซากาซึ่งเป็นคนยิงคนที่ห้าของอังกฤษ มีโอกาสทำประตูตีเสมอเพื่อแข่งต่อในช่วงซัดเดนเดธ (sudden death) แต่เขายิงไปติดเซฟของดอนนารุมมา ส่งผลให้อิตาลีชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปเป็นสมัยที่สองทันที[90]
อิตาลี | 1–1 (ต่อเวลาพิเศษ) | อังกฤษ |
---|---|---|
โบนุชชี 67' | รายงาน | ชอว์ 2' |
ลูกโทษ | ||
เบราร์ดี เบลอตตี โบนุชชี แบร์นาร์เดสกี ฌอร์ฌิญญู | 3–2 | เคน แมไกวร์ แรชฟอร์ด แซนโช ซากา |
อิตาลี[4] | อังกฤษ[4] |
|
|
ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัด: ผู้ช่วยผู้ตัดสิน:[2] | ข้อมูลในการแข่งขัน[97]
|
|
|
|
|
เมนูนำทาง
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 นัดชิงชนะเลิศ การแข่งขันใกล้เคียง
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024 รอบคัดเลือก ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 นัดชิงชนะเลิศ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 รอบคัดเลือก ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 รอบแพ้คัดออก ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 รอบแพ้คัดออกแหล่งที่มา
WikiPedia: ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 นัดชิงชนะเลิศ http://origin1904-p.cxm.fifa.com/fifa-world-rankin... http://www.rsssf.com/tablesi/ital-intres.html http://www.uefa.com/newsfiles/euro/2020/2024491_fr... http://www.uefa.com/newsfiles/euro/2020/2024491_lu... //www.worldcat.org/issn/0140-0460 http://news.bbc.co.uk/1/hi/england/2735143.stm http://news.bbc.co.uk/sport1/hi/football/world_cup... https://www.11v11.com/teams/england/tab/opposingTe... https://www.aljazeera.com/sports/2021/7/11/euro-20... https://apnews.com/article/euro-2020-sports-health...